เช็กเครดิตบูโรฟรียังไง?
ก่อนจะกู้ซื้อบ้าน/คอนโด ต้องรู้สถานะตัวเองก่อน
“อยากซื้อคอนโด แต่ไม่รู้ว่าตัวเองติดแบล็กลิสต์ไหม…”
“เคยมีหนี้บัตรเครดิตจ่ายช้า ไม่รู้กระทบเครดิตหรือเปล่า”
“กลัวว่ายื่นกู้แล้วจะโดนปฏิเสธฟรี ๆ”
คำถามเหล่านี้คือความกังวลของคนไทยจำนวนมาก
ที่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ไม่แน่ใจว่าตัวเอง “พร้อมทางการเงิน” แค่ไหน
การ เช็กเครดิตบูโร คือขั้นตอนแรกที่สำคัญ
แต่หลายคนยังไม่รู้ว่า…
✅ เช็กฟรีได้ไหม
✅ เช็กยังไงไม่ยุ่งยาก
✅ เช็กแล้วอ่านผลยังไง
บทความนี้จะพาคุณดูแบบง่าย ๆ
พร้อมวิธีรู้ “สถานะเครดิต” แบบรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องเดินทาง
เครดิตบูโรคืออะไร? ทำไมคนกู้คอนโดควรรู้ก่อน
เครดิตบูโร คือ ประวัติการใช้สินเชื่อของคุณ ที่ถูกรวบรวมจากธนาคาร/สถาบันการเงินต่าง ๆ
ซึ่งรวมถึง:
- บัตรเครดิต
- สินเชื่อส่วนบุคคล
- สินเชื่อรถยนต์
- สินเชื่อบ้าน/คอนโด
- หนี้ผ่อนรายเดือนอื่น ๆ
ธนาคารจะใช้ข้อมูลนี้ในการ ตัดสินใจปล่อยกู้
หากพบว่าคุณมีพฤติกรรมผิดนัด ค้างจ่าย หรือภาระหนี้สูง
ก็มีโอกาสสูงที่จะ “ยื่นกู้ไม่ผ่าน” แม้จะมีเงินเดือนดี
ปัญหาหลักคือ… คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเอง “เครดิตเสีย” หรือยัง
หลายคนเข้าใจว่า ถ้าตอนนี้ไม่มีหนี้ก็แปลว่าเครดิตดี
แต่จริง ๆ แล้ว:
- หนี้เก่าที่เคยค้างชำระ 2–3 ปีที่แล้ว
- หรือการชำระล่าช้าแค่ 1–2 งวด
ยังถูกบันทึกไว้ในระบบเครดิตบูโร
และอาจมีผลตอนยื่นกู้ซื้อคอนโด
บางคนไม่รู้เลยว่าตัวเอง “เคยมีชื่อร่วมกู้กับคนอื่น”
หรือ “บัญชีปิดแล้วแต่ประวัติยังติดอยู่”
วิธีเช็กเครดิตบูโรฟรี (หรือแบบเสียค่าใช้จ่ายน้อยมาก)
- ผ่านแอปฯ Krungthai NEXT / KKP / TTB / SCB EASY / myMo / ฯลฯ
– ค่าธรรมเนียมเพียง 150 บาท (บางช่วงมีโปรฯ ฟรี) - ที่บูธของเครดิตบูโร เช่น เซ็นทรัลบางนา, เซ็นทรัลเวสต์เกต, ธนาคารอาคารสงเคราะห์
– มีค่าธรรมเนียมประมาณ 100 บาท / ใช้บัตรประชาชน - ส่งเอกสารทางไปรษณีย์ (ฟรีค่าธรรมเนียม แต่ใช้เวลา 7–14 วัน)
– ดาวน์โหลดฟอร์มได้จากเว็บไซต์ของเครดิตบูโร - เช็กเครดิตกับผู้เชี่ยวชาญ พร้อมวิเคราะห์ให้ฟรี
– หากคุณต้องการรู้ว่าตัวเอง “กู้ผ่านไหม” หรือ
“ต้องแก้ตรงไหนก่อนยื่นกู้” แบบเข้าใจง่าย 👉 ลอง ทำแบบทดสอบเครดิตฟรีที่นี่
– ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที
– ไม่ต้องมีบัตรเครดิต
– มีทีมงานช่วยวิเคราะห์ให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
สรุป: ถ้ากำลังจะยื่นกู้คอนโด หรือวางแผนใน 6 เดือน–1 ปีข้างหน้า
เช็กเครดิตบูโรวันนี้คือจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องที่สุด
อย่ารอให้ไปถึงขั้น “โดนปฏิเสธสินเชื่อ”
แล้วค่อยมาดูว่าเกิดจากอะไร
เพราะบางอย่างสามารถ “แก้ไขล่วงหน้า” ได้ถ้ารู้ก่อน
ใส่ความเห็น