เรื่องจริงที่เกิดขึ้นทุกวัน

อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ (DTI) สูงสุดเท่าไร
ถึงจะกู้ได้?
เรื่องจริงที่เกิดขึ้นทุกวัน

เรื่องจริงของน้องโอ๊ค วิศวกรเงินเดือน 80,000 บาท ที่กู้คอนโดไม่ได้เพราะ DTI เกิน 60% พร้อมวิธีแก้ไขที่ใช้ได้จริง

"เงินเดือน 80,000 บาท แล้วยังกู้ไม่ได้?" น้องโอ๊ค (26 ปี) วิศวกรคอมพิวเตอร์จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความงงงวย หลังจากได้รับข้อความปฏิเสธจากธนาคารแห่งหนึ่ง

เขาคิดว่าด้วยเงินเดือนเกือบแสนต่อเดือน การกู้ซื้อคอนโด 3 ล้านบาทน่าจะเป็นเรื่องง่าย แต่แล้วความจริงกลับตบหน้าเขาอย่างแรง

ความฝันที่พังทลาย...

ความฝันที่พังทลาย

น้องโอ๊คมีแผนชีวิตที่ชัดเจน ออมเงินมา 3 ปี มีเงินดาวน์ 600,000 บาท เลือกคอนโดใกล้รถไฟฟ้าที่ใจแล้ว และคิดว่าด้วยเงินเดือนที่ดีแบบนี้ การอนุมัติกู้น่าจะเป็นเรื่องง่าย

แต่เมื่อไปยื่นเอกสารที่ธนาคาร พนักงานดูแล้วค่อยๆ หน้าเศร้า

"คุณโอ๊ค อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ของคุณเกิน 60% แล้วครับ เราจึงไม่สามารถอนุมัติได้"

"หนี้อะไรครับ? ผมไม่มีหนี้นะ" น้องโอ๊คตอบด้วยความงุนงง

"คุณมีรถยนต์ผ่อน 18,000 บาท บัตรเครดิตขั้นต่ำ 12,000 บาท สินเชื่อส่วนบุคคล 8,000 บาท และไฮเปอร์การ์ด 5,000 บาท รวมแล้วเดือนละ 43,000 บาท"

เมื่อเอาไปคำนวณ 43,000 ÷ 80,000 = 53.75%แล้วถ้าเพิ่มผ่อนบ้านอีก 15,000 บาท จะกลายเป็น 72.5%ซึ่งเกินกว่า 60% ที่ธนาคารกำหนด

ความจริงที่ไม่เคยรู้

น้องโอ๊คเพิ่งรู้ว่า DTI (Debt to Income Ratio)คือตัวชี้วัดสำคัญที่ธนาคารใช้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ โดยคำนวณจาก:

หนี้ทั้งหมดต่อเดือน ÷ รายได้ต่อเดือน × 100

และสิ่งที่น้องโอ๊คไม่รู้คือ ธนาคารมองทุกอย่างเป็น "หนี้" แม้แต่:

บัตรเครดิตที่ยังไม่ได้ใช้

ธนาคารนับขั้นต่ำ 3% ของวงเงิน แม้จะไม่ได้ใช้เลย

ไฮเปอร์การ์ดที่ไม่ได้ใช้

นับขั้นต่ำ 5% ของวงเงิน ถึงจะไม่ได้ใช้ก็ถือเป็นหนี้

การค้ำประกันให้คนอื่น

นับเต็มจำนวน เสมือนเป็นหนี้ของตัวเอง

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน

หลังจากช็อคและเสียใจมาสักพัก น้องโอ๊คเริ่มค้นหาข้อมูลเพื่อหาทางแก้ไข เขาไปเจอเว็บไซต์ที่ช่วยคำนวณ DTI และประเมินโอกาสการอนุมัติ

ตอนแรกเขาไม่เชื่อว่าเครื่องมือออนไลน์จะช่วยอะไรได้ แต่พอลองใส่ข้อมูลแล้วเห็นผลลัพธ์ที่ละเอียด พร้อมคำแนะนำที่ชัดเจน เขาเริ่มมองเห็นทางออก

การเดินทางสู่เป้าหมาย

น้องโอ๊คใช้เวลา 8 เดือนในการปรับปรุง DTI โดยมีแผนการที่ชัดเจน

แผนการ 8 เดือนที่เปลี่ยนทุกอย่าง

เดือนที่ 1-2: ยกเลิกบัตรที่ไม่จำเป็น

  • ✓ ปิดไฮเปอร์การ์ด 3 ใบ ลด DTI ลง 15,000 บาท
  • ✓ เก็บบัตรเครดิตหลักเพียง 1 ใบ

เดือนที่ 3-5: ชำระหนี้ส่วนบุคคล

  • ✓ โอนเงินออมมาชำระสินเชื่อส่วนบุคคลก้อนหนึ่ง
  • ✓ ลดค่าผ่อนลงเหลือ 3,000 บาทต่อเดือน

เดือนที่ 6-8: รีไฟแนนซ์รถยนต์

  • ✓ ขยายปีการผ่อนจาก 5 ปี เป็น 7 ปี
  • ✓ ลดค่าผ่อนจาก 18,000 เป็น 14,000 บาท

ผลลัพธ์

DTI ลดลงเหลือ 38%

(14,000 + 4,000 + 3,000 = 21,000 บาท)

ความสำเร็จที่รอคอย

เมื่อ DTI อยู่ที่ 38% น้องโอ๊คกลับไปยื่นกู้ใหม่ ธนาคารอนุมัติวงเงิน 2.4 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอสำหรับคอนโดที่เขาต้องการ

"ผมเพิ่งรู้ว่าการมีเงินเดือนดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักจัดการหนี้ด้วย"

"ถ้าไม่มีเครื่องมือคำนวณ DTIผมอาจจะปรับแบบผิดๆ และใช้เวลานานกว่านี้เป็นเท่าตัว" น้องโอ๊คเล่า

เคล็ดลับจากทีม CheckCredit

จากประสบการณ์ช่วยเหลือคนไทยหลายพันคนในการกู้ซื้อบ้าน เราสังเกตว่าปัญหา DTI สูงเกิดจาก:

สาเหตุหลักที่ DTI สูง

  • ไม่รู้ว่าบัตรเครดิตที่ไม่ใช้ก็นับเป็นหนี้
  • มีบัตรหลายใบเพื่อรับของแถม
  • ผ่อนรถในอัตราที่สูงเกินไป
  • มีสินเชื่อส่วนบุคคลจากหลายแหล่ง

วิธีลด DTI อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ปิดบัตรที่ไม่จำเป็น - ลด DTI ได้ทันที 3-5% ต่อใบ
  • รีไฟแนนซ์หนี้เดิม - ลดดอกเบี้ยและขยายระยะเวลา
  • ชำระหนี้ดอกเบี้ยสูงก่อน - เริ่มจากสินเชื่อส่วนบุคคล
  • เพิ่มรายได้ - หารายได้เสริมหรือขอขึ้นเงินเดือน

กฎ 60% ที่ธนาคารใช้

  • • ธนาคารส่วนใหญ่กำหนด DTI ไม่เกิน 60%
  • • บางธนาคารยืดหยุ่นถึง 70% สำหรับลูกค้าพิเศษ
  • • ยิ่ง DTI ต่ำ ยิ่งได้วงเงินสูงและดอกเบี้ยดี

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย

หลายคนคิดว่าการปิดบัตรเครดิตจะทำให้เครดิตสกอร์ลดลง ความจริงคือ:

  • • การปิดบัตรที่ไม่ใช้จะช่วยลด DTI ทันที
  • • เครดิตสกอร์อาจลดลงเล็กน้อยในระยะสั้น แต่ DTI ที่ดีจะช่วยให้กู้ได้ง่ายขึ้น
  • ถ้าต้องเลือกระหว่างเครดิตสกอร์กับ DTI ให้เลือก DTI

การออกแบบแผนทางการเงินที่ยั่งยืน

เมื่อเราเข้าใจหลักการ DTI แล้ว เราจะสามารถวางแผนการเงินได้ดีขึ้น:

กฎง่ายๆ ที่ใช้ได้จริง:

  • • DTI อยู่ที่ 30-40% = สบายมาก
  • • DTI อยู่ที่ 40-50% = ปกติ จัดการได้
  • • DTI อยู่ที่ 50-60% = ระวัง ควรปรับลด
  • • DTI เกิน 60% = อันตราย กู้ใหม่ยาก

ถ้าคุณกำลังมองหาบ้านหรือคอนโด ลองตรวจสอบ DTI ของตัวเองก่อนด้วยเครื่องมือคำนวณแม่นยำเพื่อให้รู้ว่ามีโอกาสผ่านอนุมัติแค่ไหน และควรปรับอะไรบ้าง

บทเรียนสำคัญ

จากเรื่องราวของน้องโอ๊ค เราเรียนรู้ว่า:

การมีเงินเดือนดีไม่ได้การันตีการอนุมัติกู้

สิ่งที่ธนาคารดูคือความสมดุลระหว่างรายได้และภาระหนี้ทั้งหมด

การวางแผนล่วงหน้าสำคัญมาก

ถ้าน้องโอ๊ครู้เรื่อง DTI ตั้งแต่แรก เขาอาจไม่ต้องรอ 8 เดือน

เครื่องมือที่ใช่จะช่วยให้เดินทางง่ายขึ้น

การใช้เครื่องมือคำนวณ DTI ที่ถูกต้องจะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาและหาทางแก้ได้เร็วขึ้น

วันนี้น้องโอ๊คอยู่ในคอนโดหลังใหม่แล้ว เขาบอกว่า "ถ้าใครกำลังจะกู้บ้าน อย่าลืมเช็ค DTI ก่อนนะ เพราะมันสำคัญกว่าที่คิด"

เริ่มเส้นทางสู่การกู้ซื้อบ้านที่สำเร็จ

อย่าให้ DTI สูงมาขวางความฝันของคุณเริ่มตรวจสอบ DTI ของคุณวันนี้และวางแผนการปรับปรุงให้เหมาะสม

✅ คำนวณ DTI ฟรี 100% ✅ รับคำแนะนำเฉพาะบุคคล ✅ ผลลัพธ์ภายใน 2 นาที
ชาญชัย อั๊ลการีมี

ชาญชัย อั๊ลการีมี

ผู้พัฒนาระบบ CheckCredit

ผมพัฒนาแพลตฟอร์มประเมินเครดิตอัจฉริยะที่น่าเชื่อถือ และมีความแม่นยำสูงนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยให้คุณรู้โอกาสการได้รับอนุมัติสินเชื่อล่วงหน้า แพลตฟอร์มประเมินเครดิตอัจฉริยะของคนไทย

บทความที่เกี่ยวข้อง

เมื่อการคำนวณวงเงินกู้ผิด กลายเป็นบทเรียนที่แพงที่สุดในชีวิต

เรื่องจริงของคุณอ๋อมและคนอื่นๆ ที่เคยคิดผิดเรื่องวงเงินกู้คอนโด เรียนรู้วิธีคำนวณวงเงินกู้ให้ถูกต้องเพื่อไม่ให้ความฝันกลายเป็นฝันร้าย

ดูวิธีคำนวณวงเงินกู้ที่ถูกต้อง →

5 ขั้นตอนเช็กเครดิตก่อนซื้อคอนโดให้ผ่านฉลุย

เรื่องจริงจากคนที่เคยผิดพลาดและประสบความสำเร็จ เรียนรู้ 5 ขั้นตอนการเช็กเครดิตก่อนซื้อคอนโดที่ใช้ได้จริง พร้อมเคสศึกษาและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน

ดูขั้นตอนการเตรียมตัวที่ใช้ได้จริง →

เช็กเครดิตก่อนซื้อคอนโดในกรุงเทพ - เรื่องจริงที่จะช่วยให้คุณไม่ผิดหวัง

เรื่องจริงของคนที่เคยผิดพลาดและประสบความสำเร็จในการซื้อคอนโดในกรุงเทพ เรียนรู้วิธีเช็กเครดิตก่อนซื้อคอนโดเพื่อไม่ให้ความฝันกลายเป็นฝันร้าย

ดูเรื่องราวของน้องมิ้นท์และคนอื่น ๆ ที่ผ่านมา →